ทำไมต้องมี เว็บไซต์ ของบริษัทด้วยล่ะ ในเมื่อก็มี Facebook อยู่แล้ว

10115
แบ่งปัน

ผมได้รับคำถามนี้ ทั้งจากโทรศัพท์ และข้อความทาง Facebook เข้ามาสอบถามกันเป็นจำนวนมาก ว่าทำไมคนที่ขายของออนไลน์, ร้านค้า หรือบริษัทถึงต้องมี เว็บไซต์ เป็นของตัวเองด้วย ในเมื่อก็มี Facebook Fanpage ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็น เว็บไซต์ ของบริษัทอยู่แล้ว สู้เอาเงินที่จะไปลงทุน ทำเว็บไซต์ มาจ่ายเป็นค่า Promote Page ใน Facebook ดีกว่ามั้ย? คำถามนี้ กลายเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับคนหลายๆ คน เพราะยังไม่เข้าใจ ถึงความจำเป็น ที่จะต้องมี เว็บไซต์จริงๆ สำหรับบริษัท หรือตัวบุคคล และแน่นอนว่า อีกส่วนหนึ่ง ก็ไม่อยากที่จะหันมา ทำเว็บไซต์ เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร และจะทำออกมาได้ดีหรือไม่ เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจน ผมจึงได้เขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่ออธิบายเหตุผลว่า ทำไมเรายังควรที่จะ ทำเว็บไซต์ ให้เป็นของเราเอง หรือเป็นของบริษัทอยู่อีก ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันก็มี โซเชียลมีเดีย มากมายให้เลือกใช้ ทั้งฟรี และประหยัดเวลา แถมไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมากมาย ก็ทำออกมาได้ดีกว่า เว็บไซต์ เสียอีก ลองมาดูคำตอบที่ผมนำเสนอเหล่านี้ดูนะครับ ว่ามันจริงหรือไม่

ทำไมต้องมี เว็บไซต์ ของบริษัทด้วยล่ะ ในเมื่อก็มี Facebook Fanpage

ทำไมต้องมี เว็บไซต์ ทั้งๆ ที่มี Facebook Fanpage อยู่แล้ว

1. เพื่อความน่าเชื่อถือ ลองคิดว่า คุณเป็นลูกค้าดูนะครับ ถ้าคุณไปเจอบริษัทหนึ่ง ที่มีแต่ Facebook เป็นช่องทางหลักเพียงอย่างเดียว กับอีกบริษัทหนึ่ง ที่มีทั้ง Facebook และ เว็บไซต์ เป็นของบริษัทนั้น ท่านจะรู้สึกว่า บริษัทไหน น่าเชื่อถือมากกว่ากันครับ

Facebook นั้น ไม่ว่าใครที่มีบัญชีผู้ใช้งาน ก็สามารถสร้างเพจขึ้นมาได้ จะสร้างกี่เพจ จะตั้งชื่อว่าอะไรก็ได้ ขนาดคุณตัน ภาสกรนที ยังถูกปลอมเฟสบุ๊คได้เลย แต่เว็บไซต์นั้น เจ้าของเว็บ ต้องทำการจดทะเบียน กับผู้ให้บริการ Web Hosting ต้องมีชื่อ และที่อยู่ ที่สามารถติดตามได้ ความน่าเชื่อถือ ย่อมมีสูงกว่า Facebook Fanpage แน่นอน

เรื่องเด็ดห้ามพลาด  จำเป็นแค่ไหน ที่ต้องเปลี่ยน เว็บไซต์เดิม เป็น Web Responsive ?

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความจำเป็น ว่าจำเป็นมั้ย อันนี้ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของท่านนะครับ การมีเว็บไซต์ มันจะได้ในเรื่องของความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าท่านคิดว่าไม่จำเป็น ก็ไม่เป็นไรครับ แล้วแต่ท่านเลย

2. เพื่อการแบ่งส่วนงาน สำหรับท่านที่เป็นบริษัทที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ หรือสินค้านั้น การใช้ทั้งเว็บไซต์ และเฟสบุ๊ค ควบคู่กันไป โดยแบ่งส่วนงานกัน ย่อมสร้างผลดีในการขายมากทีเดียว บนหน้าเพจ Facebook ก็เอาไว้อัพเดทสินค้าตัวใหม่ๆ ที่ออกมา ในขณะที่บน เว็บไซต์ ก็จะมีรายละเอียดสินค้าแต่ละตัว แสดงเอาไว้อย่างละเอียด พร้อมราคา ท่านไม่ควรจะใช้แต่ช่องทางบน เฟสบุ๊ค ประกาศขายสินค้าเพียงอย่างเดียว ลองนึกดูว่า ถ้าท่านมีสินค้ามากถึง 100 ชนิด แล้วโพสต์ลงไปใน Timeline แล้วมีลูกค้าเกิดสนใจ อยากจะดูสินค้าหลายๆ ชนิด ที่ท่านโพสต์ไปตอนรายการที่ 1 – 10 ลูกค้าต้องเลื่อน Timeline ลงมาเยอะแค่ไหน ไม่สะดวกเลยใช่มั้ยครับ แต่ถ้ามีเว็บไซต์ ลูกค้าอยากได้อะไรก็แค่พิมพ์ค้นหา เข้าในช่องค้นหา เพื่อหาสินค้าในเว็บไซต์ของเรา ง่ายๆ อย่างนั้นเลย สะดวกกว่ากันเยอะ

3. เพื่อความสะดวกในการทำเป็น ร้านค้าออนไลน์ เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นด้วย WordPress ใช่ว่าจะเป็น Blog ที่บอกเล่าเรื่องเพียงอย่างเดียว แต่มันยังสามารถเพิ่มความสามารถ ทำเป็นร้านค้าออนไลน์ จำหน่ายสินค้า ซื้อขายออนไลน์ด้วยบัตรเครดิตได้อีกด้วย เพิ่มความสะดวก สำหรับคนที่มีร้านค้าจริง ที่ต้องการลงสินค้าจำหน่ายออนไลน์ ได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องไปเสียเงิน จ้างให้ใครมาทำเว็บร้านค้าออนไลน์ในราคาแพงๆ ให้เสียเงิน ทำเองได้ครับ ขั้นตอนนั้น ง่ายมากๆ เลย

เรื่องเด็ดห้ามพลาด  อยากได้ ที่ปรึกษาการตลาดบน Google ทำไมต้องมาที่ AppTep.com

4. เพื่อดึงผู้คนที่ไม่ได้เล่น Facebook ให้มาเจอกับบริษัทของเรา เพราะท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่า บัญชี Facebook แต่ละบัญชี ที่มากด LIKE ให้กับเพจของท่าน เป็นคนที่มีเพียงแค่บัญชีเดียวจริงๆ เพราะผมเชื่อว่า ท่านต้องเคยเห็นเพื่อนๆ หรือคนรอบตัว หรือแม้แต่ตัวท่านเอง ที่มีบัญชี Facebook 2 บัญชี ดังนั้นจำนวน LIKE จึงไม่ได้เป็นตัวบอกความนิยมของเพจ หรือบอกยอดของผู้ที่เห็นโพสต์ของคุณเลย ถ้าคุณไม่ทำการโปรโมทเพจ ด้วยการเสียเงินให้กับทาง Facebook แล้วล่ะก็ เพจของคุณ จะมีคนเห็นโพสต์ที่คุณโพสต์ลงไปเพียง 10% เท่านั้น

แต่ถ้าคุณมี เว็บไซต์ เป็นของตัวเอง คุณก็ไม่ต้องไปกังวลเรื่องนั้นมาก เพราะตัวเว็บไซต์ มันจะทำหน้าที่ ดึงผู้คน ที่ไม่ได้เล่นแต่ Facebook ให้มาเจอกับเว็บของคุณเอง หรือที่เรียกว่า organic traffic คือ คนที่ค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ในหน้า Google แล้วมาเจอกับเว็บของคุณ แล้วก็สนใจ และติดตามเว็บของคุณ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ทราฟฟิกธรรมชาติ ซึ่งถ้าหากคุณ ทำ SEO ให้เว็บไซต์ ของคุณดีๆ แล้วล่ะก็ Website ของคุณ จะติดอยู่ในอันดับต้นๆ หรือ หน้าแรก Google เลยก็ได้ ซึ่งนั่นจะเป็นการเพิ่ม จำนวนผู้คนที่จะเข้าถึงเว็บของคุณมากขึ้น

ทราฟฟิกแบบนี้ มีค่ามากกว่า ทราฟฟิกบน Facebook ค่อนข้างมาก เพราะการที่เค้าค้นหา แปลว่าเค้ากำลังต้องการ และเมื่อเค้าได้มาเจอกับ เว็บของคุณ และถูกใจ เค้าก็จะเป็นแฟนในเว็บของคุณเอง ซึ่งแน่นอนว่า เค้าต้องมีตัวตนจริงๆ อย่างแน่นอน ยอดขายที่คุณจะทำได้นั้น มีโอกาสที่จะขายได้จริงๆ สูงมากกว่า ที่จะไปเสียเงินเพิ่ม LIKE ใน Facebook อีก

เรื่องเด็ดห้ามพลาด  เข้าร่วมสัมมนา อย่างไร ให้ได้ความรู้ติดตัวกลับมาจริงๆ

5. เพื่อสร้างรายได้เสริม อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ในหลายๆ บทความว่า เว็บไซต์ WordPress ที่คุณทำ สามารถนำมาติดโฆษณาของ Google Adsense เพื่อเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง ให้กับธุรกิจของคุณ โดยเป็นรายได้แบบ Passive income ในเมื่อคุณตัดสินใจได้แล้ว ว่าต้องทำเว็บของตัวเอง หรือของบริษัท ไหนก็ต้องทำเว็บแล้ว ก็ทำมันให้ดี แล้วนำมาหา รายได้ออนไลน์ เพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง จะไม่ดีกว่าหรือครับ

แต่การที่ผมอธิบายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมต่อต้าน หรือไม่เห็นด้วยกับการ Promote page ของเฟสบุ๊คนะครับ ผมเองก็เสียเงินให้กับ เฟสบุ๊ค เพื่อช่วยโปรโมตเพจเหมือนกัน เพราะการทำ การตลาดออนไลน์ มันต้องทำทั้งสองอย่างครับ ทั้งโปรโมตทาง Facebook และทำเว็บคุณภาพ ตามหลัก SEO เพื่อให้ติดอันดับดีๆ ในผลการค้นหาของ Google เราไม่ควรเลือกที่จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ควรจะทำมันทั้งสองอย่างเลยครับ จะได้ผลดีที่สุด ทั้ง Facebook Fanpage และ Website มันทำงานร่วมกันได้ และประสานสอดคล้องกันได้อย่างดีซะด้วย ถ้าผู้ใช้งานรู้วิธี

สรุปเลยว่า ตราบใดที่คนเรา ยังไม่หยุดที่จะค้นหาคำตอบ จากการ Search บน Search engine อย่าง Google, Yahoo หรือ Bing แล้วล่ะก็ เมื่อนั้น เว็บไซต์ ก็ยังคงมีจำเป็นอยู่ดี การทำ การตลาดออนไลน์ หรือ Online Marketing นั้น ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุด ต้องทำทั้ง Facebook และ เว็บไซต์ ไปพร้อมๆ กัน

ภาพจาก Freepik